เรียนต่อประเทศไอร์เเลนด์ ค่าใช้จ่ายไม่เเพง เเถมยังได้งานทำอย่างถูกกฏหมายอีกด้วย

เมื่อน้องๆส่วนใหญ่ พอได้ยินคำว่า เรียนไปทำงานไปที่ต่างประเทศส่วนใหญ่แล้วน้องๆจะต้องนึกถึงประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างแรกเลยเพราะว่าไม่ใช่แค่สามารถทำงานได้เท่านั้น แต่ว่ามันยังถูกกฎหมายอีกด้วย โดยที่ไม่ต้องค่อยหลบๆซ่อนๆในการทำงานอีกต่างหาก แต่สำหรับบางคนก็อยากฝึกงานในบรรยากาศที่ออกแนวสไตล์ยุโร๊ป ยุโรป คนไทยน้อยๆ และถูกกฎหมายด้วย พี่ๆขอบอกเลยนะคะว่าสำหรับน้องๆคนไหนที่ต้องการเรียนไปทำงานในสไตล์ยุโรปแบบถูกต้องตามกฏหมายนั้น มันมีอยู่จริงๆนะ ประเทศที่พี่ๆหมายถึงนั่นก็คือ ประเทศไอร์แลนด์นั่นเองค่ะ บางคนอาจจะคิดว่าประเทศไอร์แลนด์ มันใช่ที่ที่เค้าไปตามล่าดูแสงเหนือ Aurora รึเปล่านะ คำตอบคือไม่ใช่นะคะทีนี้เรามาดูกันค่ะว่าประเทศไอร์แลนด์มีอะไรน่าสนใจและมันดียังไงที่เราถึงต้องไปเรียนที่นี่ด้วย ก่อนที่เราจะรู้ว่าเรียนต่อที่ประเทศไอร์เเลนด์นั้นมันดียังไง ทำงานได้อย่างถูกกฏหมายนั้นจริงหรือไม่ เรามาทราบถึงรายละเอียดของประเทศนี้กันก่อนเลยค่ะ
ประเทศไอร์เเลนด์
ประไอร์แลนด์ ( Ireland ) เป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป ทิศตะวัน ออกของประเทศ ติดกับทะเลไอริชซึ่งขั้น กลางระหว่าง ไอร์แลนด์ กับสหราช อาณาจักร สำหรับพื้นที่ด้านบนสุด ของเกาะขนาดหนึ่งในห้าเป็นอาณาเขตของ ไอร์แลนด์ เหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร พื้นที่ของประเทศมีขนาด 70 ,282 ตารางกิโลเมตร ไอร์แลนด์มีจำนวนประชากรประมาณ 4.2 ล้านคน คนไอริชส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชนพื้นเมือง พูดภาษาเกลิค ( Gaelic ) และการผสมผสานของกลุ่มชนเชื้อสายอังกฤษ สก๊อต ฝรั่งเศส แองโกล-นอร์แมน ไวกิ้ง และเวลส์ โดยมีวัฒนธรรมเควทิก ( Celtic ) และภาษาเกลิคเป็นเอกลักษณ์สำคัญ ของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญไอร์แลนด์กำหนดให้ภาษาไอริช หรือเกลิค เป็นภาษาประจำชาติและ เป็นภาษาราชการอันดับแรก และภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอันดับสอง แต่ในทางปฏิบัติ ประชาชนทั่วไปพูดและใช้ภาษาอังกฤษ มีชาวไอริชจำนวนน้อยมากที่ยังคงพูดหรือใช้ภาษาเกลิค ไอร์แลนด์ยังเป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรปที่พูดภาษาอังกฤษ สกุลเงินที่ใช้คือ ยูโร
ลักษณะภูมิประเทศ
ประเทศไอร์แลนด์ตั้งอยู่ที่สุดขอบทางตะวันตกของทวีปยุโรปในมหาสมุทรแอตแลนติก และถูกแยกออกจากเกาะบริเตนใหญ่โดยทะเลไอริช เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่มีทุ่งหญ้าและเนินเขาเขียวชอุ่มมากมาย ไอร์แลนด์จึงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “เกาะมรกต” และบนพื้นที่ของเกาะนี้มีสิ่งต่าง ๆ นำเสนอมากมายตั้งแต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ความร่ำรวยทางวัฒนธรรม ภูมิทัศน์ที่งดงามแปลกตา ปราสาทและซากโบราณสถานอันหลากหลายไปจนถึงเมืองที่มีชีวิตชีวาและทันสมัย
ภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของไอร์แลนด์ขึ้นกับอิทธิพลของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นสำคัญ ดังนั้นสภาพภูมิอากาศจึงสามารถแปรผันไปมาและแทบจะไม่มีสภาพแบบร้อนจัดหรือหนาวจัดสุดขั้ว ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรปที่อยู่ในละติจูดเดียวกัน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปีคือสภาพอากาศเย็นสบายที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียส
- ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนกุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน) อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ระหว่าง 8-12 องศาเซลเซียส เดือนเมษายนเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดของฤดูใบไม้ผลิ
- ฤดูร้อน (เดือนพฤษภาคม – เดือนสิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ระหว่าง 18-20 องศาเซลเซียส เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่นที่สุดและมีแสงแดดยาวนาน 18 ชั่วโมง ท้องฟ้าจะมืดสนิทหลัง 5 ทุ่มเท่านั้น
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไอร์แลนด์ เหล่านักท่องเที่ยวและนักเดินทางจะได้มีความสุขกับกิจกรรมกลางแจ้งและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่ผลิบาน อากาศอันสดชื่นและแสงแดดอันสดใสอบอุ่น
- ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน – เดือนพฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ระหว่าง 14-18 องศาเซลเซียส
- ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ระหว่าง 4-8 องศาเซลเซียส เดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อากาศเย็นที่สุดโดยบางครั้งอุณหภูมิจะต่ำลงไปจนถึงช่วงติดลบ โดยปกติจะไม่ค่อยมีหิมะตกในประเทศไอร์แลนด์
ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวถือว่าเป็นฤดุกาลที่นักท่องเที่ยวน้อย สถานที่ท่องเที่ยวกลางแจ้งหลายๆแห่งอาจปิดลง แต่โดยรวมแล้วนักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในอาคาร เช่น นิทรรศการและเทศกาล รวมทั้งยังได้ประโยชน์จากราคาที่ลดลงของที่พักต่าง ๆ ด้วย
กิจกรรมยามว่างในไอร์แลนด์
เดินชมธรรมชาติและถ่ายรูป หรือเดินในดับลิน ทานอาหาร ดื่มด่ำกับดนตรีไอริชแบบสดๆ
Why Study In Ireland?
นอกจากภาษาไอริชแล้ว ไอร์แลนด์ยังใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ นักเรียนจะได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันนอกจากนี้ ความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของภูมิประเทศของไอร์แลนด์ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่อาศัยอยู่มารุ่นสู่รุ่น ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเจนจากวรรณกรรมไอริช บทเพลง ภาพวาดรวมถึงภาพถ่ายต่าง ๆ ของประเทศไอร์แลนด์ เมื่อท่องเที่ยวในไอร์แลนด์ คุณจะตื่นตาตื่นใจไปกับสีเขียวสดใสของเนินเขาและทุ่งหญ้า ชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะขรุขระสวยงาม และท้องฟ้าที่สวยงามน่าตื่นตะลึงไม่ว่าจะเป็นที่มีค่อนข้างครึ้มมีเมฆหรือแดดจัดสดใส และไอร์แลนด์ยังเป็นประเทศที่มีสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย นักเรียนสามารถใช้ชีวิตระหว่างเรียนได้อย่างเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติ และระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ นอกจากนี้นักเรียนยังสามารถทำงานระหว่างเรียนได้อีกด้วย (โดยนักเรียนสามารถทำงานได้อย่างถูกกฏหมาย 20 ชม./สัปดาห์)
สำหรับการทำงานในที่ประเทศไอร์แลนด์ ของนักเรียนต่างชาตินั้น เหมือนๆกับที่ออสเตรเลียเลยค่ะ ก็คือ
เมื่อนักเรียนลงเรียนคอร์สภาษาอย่างน้อย 25 สัปดาห์ นักเรียนจะสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย 20 ชม./สัปดาห์ หรือทำงานได้มากถึง 40 ชม./สัปดาห์ในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม, กลางเดือนธันวาคม – กลางเดือนมกราคม และวันหยุดนักขัตฤกษ์ค่ะ ซึ่งการทำงานที่นี่จะเป็นที่ที่ตอบโจทย์มากสำหรับคนที่อยากจะฝึกภาษากับคนท้องถิ่นย่างจริงจัง มีคนไทยน้อยๆ เพื่อฝึกภาษาได้อย่างเต็มที่นั่นเองค่ะ เพราะถ้าเทียบกับประเทศออสเตรเลียแล้ว สามารถฝึกงานได้เช่นกัน แต่ด้วยที่ว่า ประเทศออสเตรเลียเป็นที่ที่คนไทยนิยมไปทำงานและเรียนภาษากันเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจจะไม่ค่อยตอบโจทย์สำหรับนักเรียนที่ต้องการพัฒนาภาษาพร้อมหางานเสริมรายได้นั่นเองค่ะ
* นอกจากนี้นักเรียนที่เรียนจบปริญญาโทและยังสามารถสมัครงานเพื่ออยู่ทำงานต่อได้ โดยประเทศนี้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สาขายุโรปของบริษัทใหญ่ระดับโลกได้แก่ Google, Apple และ Facebook อีกด้วยนะคะ
การเรียนภาษาที่ไอร์แลนด์ – เริ่มต้นแค่ 2แสนกว่าบาทก็ไปเรียนได้
การเรียนภาษาที่ไอร์แลนด์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตั้งต้นสูงมากเสมอไปอย่างที่หลายคนคิด เพราะสถาบันสอนภาษาที่มีคุณภาพในไอร์แลนด์หลายแห่งเปิดสอนในราคาที่ไม่แพง เช่น บางสถาบันด้วยเงินตั้งต้นเพียงสองแสนกว่าๆ น้องก็สามารถไปเรียนภาษา 25 สัปดาห์แบบที่ทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมที่พักในช่วงแรก วีซ่าและตั๋วเครื่องบิน การเรียนการสอนก็จะไม่ต่างจากการสอนภาษาในประเทศอังกฤษหรือออสเตรเลีย นั่นก็คือการเน้นสอนครบทักษะฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ในบรรยากาศห้องเรียนขนาดเล็กไม่เกิน 15 คน เรียนกันแบบอบอุ่นและเป็นกันเอง นอกจากนี้ที่สถาบันก็จะมีจัดกิจกรรมหรือการท่องเที่ยวให้น้อง ๆได้เข้าร่วมเพื่อเปิดประสบการณ์และสร้างเพื่อนใหม่นอกห้องเรียนได้อีกด้วย
Dublin เมืองดับลิน
ดับลินเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำลิฟฟีบริเวณชายฝั่งตะวันตกของประเทศ ประวัติศาสตร์ของดับลินสามารถย้อนรอยไปได้ถึงประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาลสมัยที่ชาวเคลต์มาตั้งค่ายอาศัยที่นี่ หลังจากนั้นประมาณ 1,000 ปี ชาวไวกิ้งได้เข้ามารุกราน แต่งงานกับชาวพื้นถิ่น และก่อสร้างท่าเรือค้าขายสำคัญขึ้นในบริเวณนี้ที่แม่น้ำพอดเดิลไหลมารวมกับแม่น้ำลิฟฟีในดับลิน (dubh linn หมายถึงสระสีดำในภาษาไอริช)
ดับลินได้รับประกาศให้เป็นเมืองแห่งวรรณกรรมจากยูเนสโก ดับลินยังมีชื่อเสียงในเรื่องดนตรี ศิลปะ และสีสันยามค่ำคืน ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ระดับโลกหลายแห่ง มีร้านอาหารชั้นเลิศมากมาย และยังเป็นแหล่งรวมการแสดงและความบันเทิงหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ดนตรีร็อค, คอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคไปจนถึงการเต้นแบบไอริช
ย่านเทมเพิลบาร์ (Temple Bar)
ย่านเทมเพิลบาร์เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมบริเวณฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำลิฟฟีที่เต็มไปด้วยถนนที่ปูด้วยหินและซอกซอยสลับซับซ้อน ย่านเทมเพิลบาร์เป็นหนึ่งในพื้นที่บริเวณที่เก่าแก่ที่สุดของดับลิน จริง ๆ แล้วตัวเมืองดับลินถือกำเนิดโดยรอบย่านนี้ ปัจจุบันย่านเทมเพิลบาร์เป็นบริเวณที่มีนักท่องเที่ยวมาเดินเยี่ยมชมมากที่สุดของดับลินโดยถนนจะเต็มไปด้วยร้านค้า, คาเฟ่, แกลลอรีและผับชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนของปีที่นี่จะเต็มไปด้วยคนที่มาท่องเที่ยวดูสีสันและวัฒนธรรมรวมไปถึงนักท่องราตรี ที่นี่เหล่านักแสดง, ศิลปินริมถนน, ตลาดกลางแจ้งและนิทรรศการต่าง ๆ รวมกันสร้างบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองให้กับย่านนี้เสมอ มีทติ้งเฮ้าส์สแควร์เป็นพื้นที่ยอดเยี่ยมที่โอบล้อมไปด้วยคลังภาพถ่ายแห่งชาติ และสถาบันภาพยนตร์ไอริช มีทติ้งเฮ้าส์สแควร์เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเทศกาล, การแสดง, ฉายภาพยนตร์, จำหน่ายสินค้า รวมไปถึงงานอีเว้นต์ต่าง ๆ ย่านเทมเพิลบาร์เป็นย่านที่มีบาร์และผับหนาแน่นที่สุดในเมืองดับลิน เป็นบริเวณที่นักดนตรีริมถนนเล่นดนตรีอย่างสนุกสนาน
มหาวิหารเซนต์แพทริค (St Patrick’s Church of Ireland Cathedral, Armagh)
มหาวิหารเซนต์แพทริคเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดของดับลิน มหาวิหารถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญแพทริค ผู้เป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของไอร์แลนด์ มหาวิหารตั้งอยู่ติดกันกับบ่อน้ำที่นักบุญแพทริคใช้ทำพิธีบัพติศมาให้ผู้รับเชื่อในศาสนาคริสต์ในขณะที่เขาเดินทางมายังดับลิน โบสถ์ประจำเขตเซนต์แพทริคนี้ได้รับการประกาศเป็นวิทยาลัยในปี 1191 และยกระดับเป็นมหาวิหารในปี 1224 อาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นอาคารสมัยปี 1220 และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่อาคารที่คงเหลือมาจากยุคกลางของดับลิน บริเวณมหาวิหารยังเป็นที่ฝังศพของหนึ่งในชายที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอร์แลนด์ โจนาธาน สวิฟท์ ผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องกัลลิเวอร์ผจญภัยและผู้อาวุโสของที่นี่ ปัจจุบันมหาวิหารเซนต์แพทริคเป็นมหาวิหารประจำชาติ มีขนาดใหญ่ที่สุดในไอร์แลนด์ และยังคงเป็นสถานที่นมัสการพระเจ้า และรองรับผู้เข้าชมสถาปัตยกรรมรวมถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์
ทรินิตี้คอลลเลจ ดับลิน (Trinity College Dublin)
ทรินิตี้คอลลเลจ ดับลินได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ทรงเกียรติที่สุดของไอร์แลนด์ ก่อตั้งเมื่อปี 1592 ตามคำสั่งของพระราชินีอลิซาเบธ ทรินิตี้คอลเลจ ดับลินถือว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมชิ้นยอดเยี่ยมและเป็นสถานที่ที่ประเพณีดั้งเดิมเชื่อมต่อเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดของไอร์แลนด์โดยมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 500,000 คนต่อปีเข้าเยี่ยมชมบุ๊ค ออฟ เคลส์ (Book of Kells) ซึ่งถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของทางมหาวิทยาลัย บุ๊ค ออฟ เคลส์ถูกเขียนโดยพระคริสเตียนชาวไอริชในยุค 800 AD และยังเป็นหนึ่งในภาพเขียนคัมภีร์โบราณที่สวยที่สุดในโลก บุ๊ค ออฟ เคลส์ ถูกจัดแสดงไว้ที่ลอง รูม (Long Room) ในอาคารห้องสมุดเก่า ลอง รูมเป็นห้องสมุดที่มีความยาวถึง 65 ม. มีเพดานโค้งสวยงาม ผลงานชิ้นเอกของโธมัส เบิร์คนี้ยังประกอบไปด้วยชั้นหนังสืองดงามเรียงรายที่บรรจุหนังสือโบราณและเอกสารต่าง ๆ ที่เขียนด้วยลายมือรวมกว่า 250,000 เล่ม ลอง รูม ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในห้องสมุดที่สวยงามที่สุดในโลก
มหาวิหารไครสต์เชิร์ช (Christ Church Cathedral)
มหาวิหารไครสต์เชิร์ชถูกก่อตั้งเมื่อปี 1028 ในสมัยนั้นพื้นที่ส่วนนี้เป็นบริเวณชายขอบด้านใต้ของการตั้งรกรากของชาวไวกิ้งส์ในดับลิน เมื่อเริ่มแรกที่นี่เป็นอาคารโบสถ์ไม้ที่ไม่มีสภาพคงทนนัก ชาวนอร์แมนได้สร้างเป็นมหาวิหารขึ้นด้วยหินจำนวนมากภายใต้การคำสั่งของริชาร์ด เดอร แคลร์ หรือเป็นที่รู้จักกันในนามสตรองโบว์ ขุนนางชาวแองโกล-นอร์แมนผู้เข้ามารุกรานไอร์แลนด์ในปี 1170 มหาวิหารไครสต์เชิร์ชถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองและเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในดับลิน ภายในมหาวิหารนักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับการตกแต่งภายในอันงดงามและห้องใต้ดินที่ใช้ฝังศพสมัยยุคกลางอันน่าตื่นตาตื่นใจ ห้องใต้ดินนี้ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์และยังเป็นโครงสร้างที่รอดพ้นการถูกทำลายจากสงครามต่าง ๆ มหาวิหารไครสต์เชิร์ชยังคงเป็นสถานที่ที่ประชาชนเข้ามานมัสการและทำพิธีทางศาสนา คณะร้องเพลงประสานเสียงของมหาวิหารยังเป็นหนึ่งในคณะที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอร์แลนด์
หอศิลป์แห่งชาติ (National gallery of Ireland)
ถูกก่อตั้งโดยพระราชบัญญัติของรัฐสภาในปี 1854 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมครั้งแรกในเดือนมกราคม 1864 ปัจจุบันเป็นที่รวบรวมผลงานจิตรกรรมมากกว่า 2,500 ชิ้น และงานศิลปะอื่น ๆ มากกว่า 10,000 ชิ้น ในแขนงต่าง ๆ เช่น ภาพเขียนสีน้ำ ภาพลายเส้น ภาพพิมพ์ และประติมากรรม ผลงานจากโรงเรียนจิตรกรรมชั้นนำทุกแห่งในยุโรปก็ถูกนำมาจัดแสดงที่นี่ แกลลอรีแห่งชาติยังเก็บรวบรวมผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงของศิลปินไอริชเอาไว้มากมาย ไฮไลท์ของแกลลอรีแห่งชาติรวมถึงผลงานของเฟอร์เมร์ (Vermeer), การาวัจโจ (Caravaggio), ปิกัสโซ (Picasso), แวน โก๊ะ (Van Gogh) และโมเนต์ (Monet)
รายชื่อโรงเรียนภาษาในประเทศไอร์แลนด์